หนังสือ History of the Arabs พูดถึงเรื่องอะไรบ้าง
พูดถึงดินแดนอาหรับว่าอยู่ตรงไหน คนอาหรับมีหน้าตาอย่างไร นิสัยใจคอเป็นอย่างไร กินอะไร วิถีชีวิตและความเชื่อต่างๆ เป็นอย่างไร จากชนเผ่า คนอาหรับค่อยๆ เริ่มสร้างเป็นราชวงศ์ขึ้นมาได้อย่างไร พูดถึงจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่คือกำเนิดของศาสนาอิสลามในคริสต์ศตวรรษที่ 7 พูดถึงช่วงเวลาที่ถือกันว่าเป็นยุคทองของอาหรับซึ่งเรารู้จักกันในชื่อของ Umayyad และ Abbasids คือช่วงประมาณศตวรรษที่ 9 – 11 ที่อาระเบียมีความรุ่งเรืองในทุกๆ ด้าน เลยไปจนถึงการเติบโตขึ้นเป็นจักรวรรดิออตโตมันและสงครามโลกครั้งที่ 1
หนังสือเล่มนี้ยังเจาะลึกรายละเอียดในแง่มุมต่างๆ นอกเหนือไปจากเรื่องของศาสนาด้วย อย่างเช่น ความเจริญเฟื่องฟูด้านศิลปวิทยาการ มีการพูดถึงดาราศาสตร์ที่มีการบันทึกสืบต่อกันมาเรื่อยๆ จนเกิดเป็นตำราดาราศาสตร์ขึ้นมา เรื่องเลขอารบิคที่พวกเราใช้กันอยู่ทุกวันนี้ ซึ่งสิ่งที่สำคัญมากคือการพบเลข 0 ซึ่งทำให้เกิดการผสมตัวเลขได้อีกมากมายมหาศาล (น่าสนใจว่าคนอาหรับเรียกเลขชนิดนี้ว่าฮินดี ซึ่งอาจจะแสดงว่าเลขชุดนี้จริงๆ แล้วมาจากอินเดียก็ได้) หรือในทางการแพทย์ ได้เล่าถึงการทดลองหาที่ตั้งของโรงพยาบาลในกรุงแบกแดดโดยการนำชิ้นเนื้อไปวางตามจุดต่างๆ ในเมือง และสรุปว่าถ้าพื้นที่ตรงไหนทำให้เนื้อนั้นเน่าช้าที่สุด ก็จะเป็นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับการสร้างโรงพยาบาล เป็นต้น
ทำไมถึงอยากจะแปลหนังสือเล่มนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผมได้เดินทางในดินแดนแถบตะวันออกกลาง จึงอยากจะหาความรู้เกี่ยวกับคนอาหรับ บังเอิญได้พบหนังสือเล่มนี้ที่ซีเรีย พอหยิบมาอ่าน ก็รู้สึกว่าช่วยให้ผมเข้าใจคนอาหรับมากขึ้น ได้ตระหนักว่าเรายังเข้าใจอาหรับผิดๆ อยู่หลายเรื่อง ที่สำคัญ ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ให้รายละเอียดที่น่าสนใจมากในแง่ของประวัติศาสตร์สังคม เราได้เห็นความรุ่งเรืองในอดีต เห็นจุดบกพร่องต่างๆ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะนำไปสู่ความเข้าอกเข้าใจกันในที่สุด
อีกเหตุผลหนึ่งคือผมสนใจเรื่องราวของมุสลิม ในปัจจุบัน บทบาทของมุสลิมทั่วโลกมีความสำคัญมากขึ้น แต่เรากลับมีความเข้าใจเขาน้อยมาก ทำให้ดูเหมือนเป็นปัญหาที่แก้ได้ยาก เช่น ปัญหาภาคใต้ของเรานั้น ผมคิดว่าสาเหตุที่มันวุ่นวายไม่รู้จบก็เพราะเราไม่เคยรู้จักเขาเลย
จริงอยู่ที่ว่าทุกวันนี้ มุสลิมจำนวนมากไม่ได้เป็นคนอาหรับแล้ว ยกตัวอย่างเช่น คนที่นับถืออิสลามในมาเลเซีย อินโดนีเซีย ในไทย หรือแม้กระทั่งในบางแคว้นของจีนหรือในทวีปอัฟริกาเหนือ แต่ผมเชื่อว่าถ้าอยากจะเข้าใจศาสนาอิสลาม เราจำเป็นต้องมีความเข้าใจลักษณะพื้นฐานของโลกอาหรับก่อน นี่จึงเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้อยากให้คนอื่นได้อ่านหนังสือเล่มนี้กัน
ขอเหตุผลแรกก่อนแล้วกันนะคะ อาจารย์เห็นว่าเรายังเข้าใจอาหรับผิดๆ ในเรื่องอะไรบ้างคะ
เรื่องแรกเลยก็คือเรามักจะเหมารวมว่าอาหรับคือมุสลิมและมุสลิมคืออาหรับทั้งที่มีคนอาหรับที่นับถือศาสนาอื่นๆ อีกเยอะแยะ นอกจากนั้น เวลาเราพูดคำว่าอาหรับ เรามักจะมีภาพว่าคือคนที่มาจากตะวันออกกลาง จะเห็นได้ว่าเราใช้คำว่าอาหรับ มุสลิมและตะวันออกกลางแทนที่กันไปมาราวกับว่ามันคือสิ่งเดียวกัน แถมเวลาที่นึกถึงตะวันออกกลาง คนไทยยังมักจะเหมารวมกลุ่มประเทศในเอเชียกลางอย่างอุซเบกิสสถานเข้าไปด้วย
ยังมีคำอีกคำหนึ่งซึ่งใหญ่กว่าและดูเหมือนจะมีความหมายบางส่วนทับซ้อนกันอยู่ นั่นคือคำว่า “แขก” ในภาษาไทย “แขก” มีความหมายตั้งแต่การเป็นผู้มาเยือนซึ่งเป็นใครก็ได้ ไปจนถึงคนพวกหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศตะวันตกของไทย แขกอาจจะหมายถึงแขกอินเดีย อาจจะหมายถึงแขกเปอร์เซีย (ที่เรามักเรียกว่า “แขกขาว”) ต่อมา คำว่า “แขก” ก็ใช้เรียกคนอาหรับอื่นๆ ในตะวันออกกลางนอกเหนือจากเปอร์เซีย และเมื่อคำว่าอาหรับกับมุสลิมแทบจะมีความหมายเดียวกันสำหรับคนไทย คำว่า “แขก” จึงถูกขยายไปใช้เรียกใครก็ตามที่นับถือศาสนาอิสลาม เช่น แขกมาเลย์ แขกอินโดฯ หรือแม้แต่คนกรุงเทพฯ ที่เป็นมุสลิม ทั้งที่ในแง่ของชาติพันธุ์แล้ว กลุ่มคนเหล่านี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
ศาสนาอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของชาวอาหรับ แต่เพิ่งถือกำเนิดในศตวรรษที่ 7 นี้เอง อาหรับจึงเป็นสิ่งที่ใหญ่กว่า เก่าแก่กว่ามุสลิม กลุ่มชาติพันธุ์อาหรับเป็นกลุ่มชนพื้นถิ่นที่อาศัยอยู่ในบริเวณที่ปัจจุบันเราเรียกว่าซาอุดิอาระเบียมาช้านาน แต่ในสมัยก่อน ไม่มีคำว่าซาอุดิ มีแต่คำว่าอาระเบีย ซึ่งแปลตรงๆ ว่าดินแดนของคนอาหรับ
ความเข้าใจผิดอีกอย่างที่อยากพูดถึงคือเรื่องผู้หญิงในโลกอาหรับที่คนนอกมักจะมองว่ามีสถานภาพที่ไม่เท่าเทียมกับเพศชายในหลายเรื่องด้วยกัน เช่น ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ถึงสี่คน ผมคิดว่าบทบัญญัติเพียงแต่เปิดช่องเอาไว้ว่าหากมีเหตุอันจำเป็น (เช่น ภรรยาไม่สามารถให้ความสุขได้ ไม่สามารถมีลูกสืบสกุลได้ หรือถ้าจำเป็นต้องช่วยเลี้ยงดูหญิงที่สามีตายในที่รบ) ก็สามารถทำได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่เข้มงวด เช่น ต้องสามารถเลี้ยงดูภรรยาทุกคนได้เสมอหน้ากันและต้องได้รับฉันทานุมัติจากภรรยาคนแรก เป็นต้น แต่เรามักไปย่นย่อประเด็นดังกล่าวลงเหลือแค่ชายมุสลิมมีเมียได้สี่คนเท่านั้น
นอกจากนั้น คนนอกมักมองว่าผู้หญิงมุสลิมเป็นพลเมืองชั้นสองที่ต้องเก็บตัวและปิดหน้าอยู่เสมอ แต่ถ้ามองจากมุมของคนอาหรับซึ่งมีการปล้นสะดมอยู่ตลอด โอกาสที่ผู้หญิงจะถูกทำร้ายมีสูงมาก ผู้หญิงจึงเปิดเผยตนเองแต่เฉพาะกับคนในครอบครัว บางบ้านถึงกับมีที่เคาะประตูต่างกันสองอันเพื่อให้คนในบ้านรู้ว่าผู้มาเยือนเป็นหญิงหรือชาย ถ้าเป็นชาย พวกผู้หญิงก็จะหลบไป เท่ากับเป็นการลดโอกาสที่จะเกิดอันตรายกับผู้หญิงไปในตัว
ความจริงแล้ว เวลาผู้หญิงอยู่ในหมู่ของตัวเอง ก็จะเปิดหน้าพูดคุยกันและมีชีวิตที่สนุกสนานเฮฮาไม่ต่างจากผู้หญิงอื่นๆ มีข้อสังเกตทางมานุษยวิทยาว่าในสังคมซึ่งผู้หญิงมีชุมชนของเขาเอง เช่น ในฮาเร็ม ผู้หญิงจะเป็นผู้มีอำนาจจนอาจเรียกได้ว่าเป็นผู้ควบคุมกิจการของราชสำนักตัวจริง ซึ่งความคิดดังกล่าวถูกประยุกต์มาสู่ครอบครัวมุสลิมด้วย บ่อยครั้งที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายกุมอำนาจภายในครอบครัวในขณะที่อำนาจของผู้ชายคือการได้ออกจากบ้านไปนั่งคุยกัน แต่คนที่มีอำนาจแท้จริงกลับอยู่ในบ้าน
คราวนี้มาถึงเหตุผลข้อหลังบ้าง ทำไมอาจารย์จึงคิดว่าการจะเข้าใจศาสนาอิสลามได้ จำเป็นต้องเข้าใจโลกอาหรับก่อน
เพราะศาสนาอิสลามถือกำเนิดในดินแดนอาระเบีย โดยเกิดขึ้นในกลุ่มชาติพันธุ์อาหรับก่อนแล้วจึงกระจายไปยังกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆ ศาสดาของอิสลามก็เป็นคนอาหรับ ดังนั้น วิถีชีวิตและวิธีคิดของคนอาหรับย่อมจะเป็นพื้นฐานในการกำหนดแนวทางต่างๆ ของชาวมุสลิมไม่มากก็น้อย
อาจารย์ช่วยเล่าประวัติของศาสดาศาสนาอิสลามหน่อยได้ไหมคะ
จากบันทึกที่เล่าประวัติของท่านมุฮัมมัด เรามักจะเห็นภาพท่านนั่งอยู่ในบ้านที่เป็นบ้านดินและปักชุนผ้าอยู่ตรงประตูบ้าน ใครไป ก็เจอท่านได้ ทำให้เราเห็นภาพบุคคลคนหนึ่งซึ่งอายุมากแล้ว มีวัตรปฏิบัติที่งดงาม เรียบง่าย
ตามที่มีจารึกไว้ ท่านเกิดในตระกูลพ่อค้า กำพร้าพ่อแม่ตั้งแต่เล็กและได้รับการเลี้ยงดูโดยอา ท่านเดินทางติดตามอาทำการค้าไปเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้พบและแต่งงานกับหญิงม่ายที่มีอายุมากกว่าและมีฐานะร่ำรวย ท่านจึงมีเวลาได้ไปจำศีลภาวนาในสถานที่สงบๆ อย่างที่ท่านชอบ ต่อมา เมื่อภรรยาคนแรกเสียชีวิตไป ท่านก็มีภรรยาและลูกอีกหลายคน
มีบันทึกว่าท่านชอบเข้าไปนั่งในถ้ำเล็กๆ เพื่อครุ่นคิดใคร่ครวญปัญหาต่างๆ วันหนึ่ง ท่านเกิดนิมิตว่าเทวทูตมากระซิบบอกว่าท่านจะเป็นคนที่เผยแพร่พระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ตามจารึกยังบอกอีกว่าท่านเป็นคนที่ไม่ได้รับการศึกษา พูดจาก็ไม่คล่องแคล่ว แต่เทวทูตก็ยังย้ำหลายครั้ง เราเรียกเหตุการณ์นี้ว่าการประจักษ์ของพระมุฮัมมัด
หลังจากนั้น ก็เกิดนิมิตที่สำคัญอีกครั้งคือท่านถูกพาตัวไปยังเมืองเยรูซาเล็ม จากที่นั่น ท่านได้ขึ้นไปสวรรค์ชั้นที่ 7 เพื่ออัญเชิญพระคัมภีร์อัลกุรอานจากสรวงสวรรค์ลงมาสู่โลก พระคัมภีร์นี้พระเจ้าทรงเขียนเป็นภาษาอาหรับโบราณซึ่งนักภาษาศาสตร์บอกว่าเป็นภาษาที่มีโครงสร้างงดงามสลับซับซ้อน ด้วยเหตุนี้ จึงเชื่อกันว่าพระคัมภีร์ต้องเขียนด้วยภาษาอาหรับเท่านั้นเพราะหากแปลเป็นภาษาอื่น ความหมายดั้งเดิมก็อาจจะผิดเพี้ยนไปได้
หลังจากนั้น ท่านก็ถือว่ากิจกรรมสำคัญที่ต้องทำคือเผยแพร่คำพูดของพระเจ้าให้คนอื่นได้รับรู้ด้วย คนในเมืองเมกกะที่ท่านอาศัยอยู่ส่วนใหญ่ไม่เห็นพ้องกับท่าน จึงเรียกท่านว่า “มุสลิม” ซึ่งหมายถึงคนที่ทรยศหรือคนที่ปฏิเสธศรัทธาต่อพระเจ้าองค์เดิม ท่านจึงเดินทางไปยังเมืองมะดีนะห์ ที่นั่นมีการตอบรับศาสนาของท่านดีทีเดียว เราจึงถือว่าศาสนาอิสลามเริ่มขึ้นที่เมืองมะดีนะห์ เมื่อมีคนสนับสนุนมากขึ้น ท่านจึงเดินทางกลับมาและมีชัยชนะเหนือเมืองเมกกะในท้ายที่สุด น่าสังเกตว่าศาสนาอิสลามนั้นนอกเหนือจากการเป็นศาสนาแล้ว ยังถือเป็นชุมชนที่มีลักษณะทางการเมืองด้วย คือเป็นรัฐอิสลาม
หลังจากประกาศศาสนาได้ 2-3 ปี ท่านก็มีอาการปวดหัวอย่างรุนแรงและสิ้นชีวิตที่เมืองมะดีนะห์
ช่วยขยายความที่อาจารย์กล่าวว่าถ้าอยากจะเข้าใจศาสนาอิสลาม เราควรจะต้องรู้จักพื้นฐานของโลกอาหรับด้วยค่ะ
ในศาสนาอิสลามมีวัตรปฏิบัติหลายอย่างซึ่งจริงๆ แล้วเป็นวัตรปฏิบัติที่จำเป็นสำหรับชนเผ่าอาหรับที่ร่อนเร่ในทะเลทรายที่เราเรียกว่าพวกเบดูอิน (เบดุ หมายถึงการเดินทาง) อย่างเช่น ความเคร่งครัดต่อขนบและวิถีปฏิบัติ เพราะความมีวินัยเป็นสิ่งสำคัญสำหรับความอยู่รอดของเผ่าร่อนเร่ทุกเผ่า พวกเบดูอินต้องเดินทางตามฝูงปศุสัตว์ สัตว์เลี้ยงส่วนใหญ่จะเป็นแพะหรือแกะ พวกเขาจะไม่เลี้ยงสัตว์ขนาดใหญ่เพราะมันกินมากเกินไป สัตว์เหล่านั้นให้ทั้งอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์และให้นมที่พวกเขานำมาทำเป็นเนย ซึ่งจะทำให้เก็บเป็นอาหารประเภทโปรตีนไว้ได้นานขึ้น จนเราอาจกล่าวได้ว่าการทำปศุสัตว์คือชีวิตของคนอาหรับ
อาระเบียไม่มีต้นไม้ใหญ่ สิ่งที่จะช่วยให้ยังชีพได้คือพืช ต้นไม้เล็กๆ หรือหญ้าต่างๆ ที่ขึ้นอยู่ตามบริเวณที่ยังคงความชื้นไว้ได้ เมื่อหญ้าบริเวณนั้นหมด ก็ต้องย้ายไปยังแหล่งอื่นต่อไป มันจึงเกิดเป็นการหมุนเวียนว่าในแต่ละช่วงฤดู พวกเขาควรจะอยู่ที่ไหน (วิถีชีวิตลักษณะนี้ทำให้ผมนึกถึงไร่หมุนเวียนของพวกชาวเขาของเรา) เมื่อผู้คนทั้งหมดจำเป็นต้องเดินทางไปในบริเวณที่มีอาหาร จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดการเผชิญหน้ากันเพื่อแย่งชิงทรัพยากรซึ่งมีอยู่จำกัดมากๆ ชนเผ่าอาหรับจึงมีการปล้นสะดมกันอยู่เนืองๆ จนมีคำพูดตลกๆ ที่บอกว่า ถ้าไม่ปล้นชนเผ่าอื่น ก็อาจจะต้องปล้นพี่น้องที่อยู่ข้างๆ แทน
อย่างไรก็ตาม ชุมชนที่เกิดการปล้นสะดมกันเองอยู่ตลอดเวลานั้นไม่สามารถอยู่รอดได้ ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นต้องมีการสร้างค่านิยมอะไรบางอย่างขึ้นมา เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติหรือ code of conduct อาจจะเป็นข้อยกเว้นหรือกฎเกณฑ์อะไรบางอย่างที่ช่วยตัดสินใจว่าจะปล้นสะดมใครเมื่อไร พวกเขาจำเป็นต้องเคารพกฎเกณฑ์ต่างๆ อย่างเคร่งครัดเพื่อความอยู่รอด นี่อาจจะเป็นเหตุให้คนภายนอกเห็นว่าพวกอาหรับและมุสลิมมีกฎเกณฑ์ มีข้อห้ามต่างๆ มากมายและดูเคร่งครัดเหลือเกิน
เบดูอินเป็นพวกที่เชื่อมั่นในเกียรติและในการรักษาคำพูด เพราะมิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถเรียกความนับถือยำเกรงและความไว้วางใจจากผู้อื่นได้ การที่จะให้ทรยศต่อเกียรติภูมิและคำพูดของตนเองจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลย มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมรู้สึกว่าเด็กที่ขายของคิดเงินเกิน ระหว่างที่เถียงกันอยู่นั้น ไก๊ด์ซึ่งเป็นคนมุสลิมเดินมาถามผมว่าแน่ใจใช่ไหมว่าเด็กคนนี้โกงเพราะถ้าเขาโกงจริง เขาจะต้องถูกทำโทษอย่างรุนแรงเพราะถือเป็นการไม่มีสัจจะ อย่างนี้เป็นต้น
นอกจากนั้น พวกเบดูอินยังมีความผูกพันและยึดมั่นในชนเผ่าของตนและเคร่งครัดมากว่าเมื่อแขกมาถึงเรือนชานแล้ว เขาต้องดูแลดีมากกว่าคนที่อยู่ในบ้านด้วยซ้ำไป นี่เป็นอีกวัตรปฏิบัติที่ได้กลายเป็นหลักการที่ยึดถือกันทั่วไปในสังคมมุสลิม ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่ใด เชื้อชาติไหน สัญชาติใดก็ตาม แต่หากคุณเป็นมุสลิมด้วยกันแล้ว เราก็เป็นพี่น้องกัน ผมคิดว่าหลายศาสนาก็มีแนวความคิดเช่นเดียวกัน เช่น ศาสนาคริสต์ก็มีหลักคำสอนเรื่อง brotherhood แต่ศาสนาอื่นๆ ไม่สามารถรักษาความเชื่อทำนองนี้ไว้ได้จนถึงปัจจุบัน
อยากให้อาจารย์ปิดท้ายนิดนึงว่าอาจารย์ทึ่งเรื่องอะไรมากที่สุดเกี่ยวกับโลกอาหรับและศาสนาอิสลาม
คงจะเป็นเรื่องของการเดินทางไปจาริกแสวงบุญที่เรียกกันว่า “ฮัชญ์” ลองนึกภาพว่าผู้คนมากมายเดินทางมาจากทุกสารทิศ บางคนมาจากชนบทที่ห่างไกลในเอธิโอเปีย ทวีปแอฟริกา มีคนที่เดินทางมาจากโมรอกโค มาจากอินโดนีเซีย มาจากภาคใต้ของไทย คนเหล่านี้มาจากพื้นเพที่หลากหลาย มีประวัติศาสตร์ มีเชื้อชาติและภาษาถิ่นที่แตกต่างกัน แต่เมื่อเข้าร่วมพิธี “ฮัชญ์” คนเหล่านี้ก็จะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กันเหมือนเป็นคนคุ้นเคย
ศาสนาอิสลามจึงต้องมีกลไกที่สามารถร้อยสิ่งที่หลากหลายเข้าเป็นหนึ่งเดียวได้ อย่างเช่นภาษา ไม่ว่าคนเหล่านั้นจะพูดภาษาอะไรในชีวิตประจำวันก็ตามที แต่เมื่อเข้ามาเกี่ยวข้องกับศาสนาแล้ว ก็ต้องเรียนรู้และใช้ภาษาอาหรับเท่านั้น สำเนียงพูดอาจต่างกันได้แต่ตัวเขียนจะเหมือนกันหมด ผมคิดว่าเป็นกระบวนการที่มหัศจรรย์มากที่ความหลากหลายถูกร้อยเป็นแกนเดียวกัน อยู่บนโครงครอบใหญ่มากๆ คือศาสนาอิสลาม
I love muslim
I Like Muslim Too.
I\’m Buddhist I like Muslim so much.
i love and like ISLAM
I am happy to hear that